วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

dragon

                                        
                                       
                                          
มังกร (อังกฤษdragon; จากละตินdraco) เป็นสัตว์วิเศษที่รู้จักกันในวรรณคดีของจีนและตะวันตก แม้จะใช้คำว่ามังกร (dragon) เหมือนกัน แต่มังกรของจีนและตะวันตกนั้นสื่อถึงสัตว์ต่างชนิดกัน มังกรของจีนมีรูปร่างลักษณะจัดอยู่ในประเภทสัตว์เลื้อยคลานหรืองู ไม่มีปีก แต่สามารถบินไปในอากาศได้ ส่วนมังกรของตะวันตกจะมีขา มีปีกและสามารถพ่นไฟได้
ในตำนานยุโรป มังกรเป็นสัตว์อันตรายและน่าสะพรึงกลัวสำหรับมนุษย์ มังกรจึงเป็นศัตรูตัวฉกาจของเหล่าวีรบุรุษทั้งหลาย การฆ่ามังกรและขึ้นเถลิงราชย์เป็นกษัตริย์. มังกรจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ ทั้งที่มีตัวตนจริง ๆ และในตำนานต่าง ๆ เช่น กษัตริย์อาเธอร์ ซึ่งมีนามสกุลว่า Pendragon มีความหมายว่า 'ศีรษะของมังกร' หรือ 'หัวหน้ามังกร' และมงกุฎของกษัตริย์อาเธอร์ ก็เป็นรูปมังกร ส่วนในตำนานจีน มังกรเป็นสัตว์มงคลและมีสถานะเป็นเทพเจ้า เสื้อคลุมมังกร 5 เล็บเป็นเครื่องทรงของที่กษัตริย์สามารถใช้ได้เท่านั้น ส่วนเครื่องทรงที่มีรูปมังกร 4 เล็บจะเป็นชุดสำหรับขุนนาง และ 3 เล็บสำหรับประชาชนทั่วไป
เราพบมังกรได้ง่ายและบ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นในตำนานของทางยุโรปหรือเอเชียก็ตาม เรียกว่าที่ใดมีอารยธรรมและตำนาน ที่นั่นก็ต้องมีมังกรเป็นของคู่กัน. มังกรนั้นมีรูปร่างและลักษณะหลายอย่าง แตกต่างไปตามความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น แต่โดยทั่ว ๆ ไปแล้วจะมีจุดเด่นคือ เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ ร่างกายใหญ่โต มีพละกำลังมาก บางครั้งอาจพ่นไฟได้ หรือมีอำนาจเวทมนตร์มหาศาล และที่สำคัญคือ บินได้ (อาจจะมีปีกหรือไม่มีก็ได้) โดยขนาดรูปร่างและสีนั้น ก็แตกต่างกันไป
อย่างไรก็ตาม มังกรที่พบในตำนานของทางยุโรปและของทางเอเชียนั้น ค่อนข้างจะแตกต่างกันในแง่สัญลักษณ์ โดยเฉพาะคติของจีนที่มักจะถือว่า มังกรนั้นคือเทพเจ้า และเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมงคล รวมถึงเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ (ซึ่งเป็นสมมติเทพ) แต่ทางยุโรปนั้นมักจะถือมังกรเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย (อันเป็นคติที่สืบทอดมาจากความหวาดกลัวงูของชาวยุโรป)
มังกรจีน (อักษรจีนตัวเต็ม: 龍; อักษรจีนตัวย่อ: 龙; พินอิน: lóng; ฮกเกี้ยน:เล้ง) เป็นสัญลักษณ์โดดเด่นอันหนึ่งของจักรพรรดิและวัฒนธรรมจีน มีลักษณะที่มาจากสัตว์หลาย ๆ ชนิดผสมผสานกัน ลักษณะลำตัวยาวเหมือนงู มีเขี้ยวขนาดใหญ่หนึ่งคู่อยู่ที่บริเวณขากรรไกรด้านบน มีหนวดยาวลักษณะเหมือนกับไม้เลื้อย และมีแผงคอเหมือนกับของสิงโตอยู่บน คอ , คาง และข้อศอก มีเกล็ดสีเขียวเข้มทั่วทั้งบริเวณลำตัวรวมทั้งสิ้น 117 เกล็ด ซึ่งเกล็ดมังกรจำนวน 81 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยางซึ่งเป็นเกล็ดที่มีความดี เกล็ดมังกรจำนวน 36 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยินซึ่งจะเป็นเกล็ดที่มีความชั่ว ลักษณะเขาของมังกรจะมีสันหลังทอดยาวไปตามหลังและหาง เป็นหนามยาวและสั้นสลับกัน มีขา 4 ขาและกรงเล็บแข็งแรง
เกล็ดของมังกรจีนนั้น จะมีลักษณะเฉพาะเปลี่ยนไปตามแต่ละชนิดของมังกร ตั้งแต่สีเขียวเข้มจนถึงสีทอง หรือบางแหล่งกล่าวกันว่า มังกรจีนนั้นมีหลายสี เช่น สีน้ำเงิน สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว หรือสีเหลือง แต่ในกรณีของมังกรชนิด chiao หลังของมังกรจะเป็นสีเขียว บริเวณด้านข้างเป็นสีเหลือง และใต้ท้องเป็นสีแดงเข้ม มังกรจีนชนิดหนึ่งจะมีปีกที่ด้านข้างของลำตัว และสามารถที่จะเดินบนน้ำได้ แต่สำหรับมังกรจีนอีกชนิดหนึ่งเมื่อสะบัดแผงคอไปข้างหน้าและข้างหลัง จะทำให้เกิดเสียงที่ฟังดูเหมือนกับเสียงขลุ่ย
มังกรจีนจะมีโหนกอยู่บนหัวซึ่งทำให้สามารถบินได้ เรียกโหนกที่อยู่บนหัวว่า ch’ih muh แต่ถ้ามังกรจีนตัวใดไม่มีโหนกที่บริเวณหัว จะกำคทาเล็ก ๆ ที่เรียกว่า po-shan ซึ่งสามารถทำให้มังกรลอยตัวในอากาศได้(ปัจจุบัน ประเทศทางตะวันตก ก็เพิ่งเจอ วัตถุลึกลับบางอย่างสามารถลอยในอากาศได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ) ในประเทศจีนคนโบราณมีความเชื่อกันว่ามังกรคือสัตว์ที่ทรงพลังและศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าและดิน ได้รับการกล่าวกันว่ามีความเป็นมิตร มากกว่าความร้ายกาจ เป็นสัญลักษณ์ที่นำมาซึ่งความสุข และความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง พบได้ใน แม่น้ำและทะเลสาบ ชอบที่จะอยู่ท่ามกลางสายฝน มังกรได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้สร้างกฎแห่งความใจบุญ และเป็นสิ่งที่เสริมสร้างความมั่นใจ และความเชื่อมั่นให้แก่กษัตริย์ในราชวงศ์ชิง กษัตริย์จะนั่งบนบัลลังก์มังกร เดินทางโดยเรือมังกร เสวยอาหารบนโต๊ะมังกร และบรรทมบนเตียงมังกร
มังกรทิเบต นั้นเป็นมังกรที่อาศัยในทวีปเอเชียอยู่ในประเทศทิเบตในอารามแห่งหนึ่งบนเทือกเขาหิมาลัย มังกรทิเบตมักมีหลายๆคนคิดว่ามีแต่มังกรหลง(มังกรจีน)เฉพาะในทวีปเอเชียเท่านั้น มังกรทิเบตมีลักษณะคล้ายๆกับมังกรหลงแต่มันเป็นมังกรที่มีรูปร่างผอมกว่ามังกรหลงลำตัวมีเกร็ดสีแดงมีเขาและหนวดการโจมตีของมันคือ กัดและรัด อาหารที่มันกินคือตัวเยติหรือลิงภูเขาขนาดใหญ่และบางครั้งยังกินตัวจามารี
มังกรยุโรป (European dragon) เป็นมังกรในความเชื่อของยุโรปสมัยกลาง แต่มีความแตกต่างจากมังกรจีนหรือมังกรทิเบตมาก ซึ่งเป็นสัตว์กึ่งเทพเจ้ามีอิทธิฤทธิ์ดลบันดาลให้เกิดฝน เกิดความอุดมสมบูรณ์ได้ แต่มังกรของยุโรปเป็นสัตว์ที่เสมือนตัวแทนของความชั่วร้ายหรือปีศาจ เป็นสัตว์ที่มุ่งร้ายต่อมนุษย์ โดยมากมีลักษณะเป็นสัตว์สี่ขา มีปีกกว้างใหญ่คล้ายค้างคาว หางยาวปลายหางเป็นรูปสามเหลี่ยมคล้ายหัวหอก สามารถพ่นไฟได้
มังกรในตำนานพื้นบ้านของยุโรป มักเป็นสัตว์ที่เฝ้าสมบัติและหวงทรัพย์สินเหล่านั้น โดยมากมักจับเอาเจ้าหญิงแสนสวยไปขังไว้บนยอดปราสาท และเป็นอัศวินซึ่งเสมือนวีรบุรุษเข้ามาช่วยเจ้าหญิงและฆ่ามังการนั้นตาย
ตำนานมังกรของยุโรป ที่เป็นที่รู้จัก เช่น ซิคฟรีด (Siegfried) ในตำนานแร็กนาร็อกของยุโรปเหนือ ที่สังหารมังกรแล้วเลือดมังการอาบตัวทำให้เกิดความอมตะ ไม่มีวันตาย เป็นต้น
กระนั้นมังกรของยุโรป ก็มักใช้เป็นตราสัญลักษณ์ของตระกูลขุนนาง อัศวิน หรือประดับบนธงของบางประเทศ เวลส์ เป็นต้น เพราะถือเป็นการแสดงถึงพลังอำนาจ

Cyclops




                                                      

                                                       
ไซคลอปส์ (กรีก: Κύκλωψ; ละติน: Cyclops หรือ Kyklops) หรือ อสูรตาเดียว เป็นสัตว์ประหลาดในตำนานกรีก
ชื่อไซคลอปส์ถูกใช้ระบุถึงยักษ์ตาเดียวสองชนิด โดยชนิดแรกเป็นลูกของเจ้านภา อูรานอสและพระแม่ธรณี ไกอา ซึ่งไซครอปส์จำพวกนี้มีเด่นๆ3ตน คือ อาจีรอส บรอนทีส และสเตอร์โรพีท มักจะถือค้อนอันใหญ่ มีพลังแห่งสายฟ้า และมีฝีมือในด้านช่างเหล็ก ไซคลอปส์กลุ่มนี้ถูกยูเรนัสกักขังไว้ในทาทารัส จนกระทั่งซุสปลดปล่อยออกมาหลังจากที่โค่นโครนัสผู้เป็นบิดา ซึ่งไซคลอปส์ได้ตอบแทนโดยตีอาวุธต่างๆให้เหล่าเทพ ได้แก่ สายฟ้าให้แก่ ซุส สามง่าม ให้แก่ โพไซดอน หมวกล่องหน ให้แก่ ฮาเดส และเหล่าไซคลอปส์ได้เป็นลูกมือของเทพแห่งช่างเหล็กเฮฟเฟสตุสในเวลาต่อมา จนกระทั่งถูกอพอลโลสังหารเพื่อล้างแค้นให้แอสคิวลาปิอัสที่ถูกซุสใช้สายฟ้าฟาด
ไซคลอปส์กลุ่มที่สองเป็นลูกหลานของโพไซดอนและพรายน้ำโทซา ไซคลอปส์กลุ่มนี้กินมนุษย์เป็นอาหาร โดยมีบทบาทในเรื่องโอดิสซีย์ ไซคลอปส์มีความนิยมมากเหมือนกัน เช่นไซคลอปส์ในการ์ตูน ไซคลอปส์ในเกม

Jersey Devil


Jersey Devil (เจอร์ซี เดวิล)


Jersey Devil (เจอร์ซี เดวิล) เจอร์ซีเดวิล (หรือ ปีศาจเจอร์ซี) มีหัวเหมือนกับม้าหรือแกะ มีปีกคล้ายกับค้างคาวแต่ใหญ่กว่า ส่วนลำตัวนั้นยาวและเหมือนกับงู ในปี 1909 มีพยานหลายคนได้ยินเสียงน่าขนลุกจากแม่น้ำ Delaware และเห็นสัตว์ประหลาดเรืองแสงบินอยู่บนท้องฟ้า นอกจากนั้นยังพบรอยเท้าแปลกประหลาดบนหลังคาบ้านหรือบริเวณใกล้กับเล้าไก่อีก ด้วย ตำนานเกี่ยวกับเจอร์ซีเดวิลมีหลายตำนาน หนึ่งในนั้นกล่าวว่าเจอร์ซีเดวิลเกิดในปี 1850 จากคำสาปของยิปซีในตัวหญิงสาวคนหนึ่ง และเจ้าปีศาจได้หนีเข้าไปในป่าทันทีที่เกิด ซึ่งยังคงอาศัยอยู่ในป่าจนบัดนี้

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

elf

                                                         
                                        
เอลฟ์ (อังกฤษ: elf) คือสิ่งมีชีวิตอมนุษย์ในตำนานนอร์สและตำนานปรัมปราในกลุ่มประเทศเจอร์เมนิก (สแกนดิเนเวียและเยอรมัน) เมื่อแรกเริ่ม แนวคิดเกี่ยวกับพวกเอลฟ์คือ "ชนเผ่าที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ ภาพวาดของชนเหล่านี้มักเป็นมนุษย์ทั้งชายและหญิงที่แลดูอ่อนเยาว์และงดงาม อาศัยอยู่ในป่า ในถ้ำ ใต้พื้นดิน หรือตามบ่อน้ำและตาน้ำพุ มักเชื่อกันว่าพวกเขามีชีวิตยืนยาวมากหรืออาจเป็นอมตะ รวมทั้งมีพลังเวทมนตร์วิเศษ

     แต่หลังจาก ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ผลงานอันโด่งดังของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏออกมา ภาพของเอลฟ์ก็กลายเป็นผองชนผู้เป็นอมตะและเฉลียวฉลาด ทั้งที่คำว่า เอลฟ์ ในวรรณกรรมของโทลคีนมีความหมายแตกต่างไปคนละทางกับตำนานโบราณโดยสิ้นเชิงนอกจากนี้ เอลฟ์ยังมีบทบาทสำคัญอยู่ในวรรณกรรมแฟนตาซีสมัยใหม่ และเป็นตัวละครพื้นฐานในเกมแฟนตาซียุคใหม่ด้วย...

 พวกเอล์ฟตื่นขึ้นในยุคที่หนึ่งของ ยุคแห่งพฤกษา ที่ริมทะเลสาบ คุยวิเอเนน ทางตะวันออกของ มิดเดิ้ลเอิร์ธ เวลานั้นโลก อาร์ดา ยังไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ มีแต่เพียงแสงสว่างจากแสงดาว พวกเอล์ฟจึงมองเห็นแสงดาวเป็นสิ่งแรก และหลงรักในแสงดาวเหล่านั้น
     เทพโอโรเม เป็น วาลาร์ องค์แรกที่มาพบการตื่นของพวกเอล์ฟ และนำข่าวกลับไปแจ้งยังวาลินอร์ ในยุคนั้น**วาลาร์ทั้งปวงอาศัยอยู่ที่วาลินอร์บน ทวีปอามัน ส่วน**มิดเดิ้ลเอิร์ธตกอยู่ใต้การก่อความวุ่นวายของ เมลคอร์

     เมลคอร์ยังลอบจับตัวเอล์ฟบางคนไปทรมานและดัดแปลงให้กลายเป็น ออร์ค เหล่าวาลาร์จึงมีดำริให้พวกเอล์ฟอพยพมาอยู่ที่ทวีปอามันด้วยกัน เมื่อนั้นจึงเกิดเป็น การเดินทางครั้งใหญ่ ( The Great Journey ) 
เป็นเหตุให้เกิดการแบ่งชาติพันธุ์ของเอล์ฟเป็นกลุ่มต่างๆ
ที่มาของชื่อ

     คำว่า "เอลฟ์" ในภาษาอังกฤษ มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า ælf (บ้างเรียกว่า ylf) ซึ่งมาจากคำในตระกูลโปรโต-เยอรมันว่า *albo-z, *albi-z  ภาษานอร์สโบราณว่า álfr เยอรมันยุคกลางชั้นสูงว่า elbe ในตำนานอังกฤษยุคกลางนับถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ถือว่า เอลฟ์ (elf) เป็นเพศชาย ส่วนเพศหญิงจะเรียกว่า elven (ภาษาอังกฤษโบราณว่า ælfen ซึ่งมาจาก *albinnja)

     แต่รากคำดั้งเดิมยิ่งกว่านั้นน่าจะมาจากคำในภาษาตระกูล โปรโต-อินโด-ยู โรเปียน คือ *albh- ซึ่งมีความหมายว่า "ขาว" อันเป็นรากเดียวกันกับคำในภาษาละติน albus ที่แปลว่า "ขาว" อย่างไรก็ดีมีอีกทฤษฎีหนึ่งเสนอว่า คำนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับ Rbhus นายช่างนักพยากรณ์ในตำนานเก่าแก่ของอินเดีย (ดู พจนานุกรมของอ๊อกซฟอร์ด) แนวคิดนี้ดูหนักแน่นกว่ารากคำในภาษาละตินมาก

Chimera


มีตำนานกรีกเล่าว่าไคมีร่าทำความเสียหายให้ กับเมือง Lycia ดังนั้นพระราชา Iobates จึงหาคนที่จะกำจัดมัน และได้ Bellerophon เป็นผู้รับภารกิจ Bellerophon ไปจับม้าบินเพกาซัส และใช้มันในการสู้กับไคมีร่า โดยบินขึ้น และต่อสู้กับไคมีร่า และในที่สุดเขาชนะ ซึ่งในเรื่องการต่อสู้กับไคมีร่านี้บ้างว่า เขายิงธนูลงมาใส่ไคมีร่า และฆ่ามันได้ บ้างว่าเขาใช้ก้อนตะกั่วติดที่ปลายหอก แล้วขว้างเข้าไปในปากไคมีร่า เมื่อมันพ่นไพออกมาตะกั่วจึงละลายแล้วไหลลงคอไคมีร่า จึงทำให้มันตาย
    
ต้นกำเนิดไคมีร่า
      ต้นกำเนิดตำนานของไคมีร่าไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด มี เรื่องหนึ่งว่าภูเขา Yanar ใน Lycia เป็น ภูเขาไฟที่เชื่อว่าเป็นตัวแทนของไคมีร่า เพราะบนยอดเขามีสิงโต, กลางเขาเป็นทุ่งหญ้าที่มีแพะอยู่ และทุกที่ของภูเขาเต็มไปด้วยงู และเชื่อว่า Bellerophon เป็นคนแรกที่ตั้งถิ่นฐานที่นั่น


 
รูปหล่อของไคมีร่า

     รูปหล่อของไคมีร่าที่สมบูรณ์ที่สุดจากสมัยโบราณน่าจะเป็นรูปหล่อสัมฤทธิ์ ที่ขุดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1553 ที่เมือง Arezzo ประเทศอิตาลี เรียกว่า Chimaera of Arezzo รูปหล่อนี้เป็นงาน ฝีมือของชาว อีทรัสแคน(Etruscan) ท่าทางของ รูปหล่อไคมีร่านี้คือ ปากเปิด, ลำตัวโค้งขึ้น และขาหน้าเหยียดตรงไปข้างหน้า ที่ขาขวาหน้ามีอักษรสลักอยู่ อ่านได้หลายแบบเช่น Timmsifil, Taninhesel, Tiumquil

 ไคมีร่าเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ในยุคโรมัน และเป็นสัญลักษณ์ของ การผสมกันทางลักษณะทางพันธุกรรมของสัตว์ต่างชนิดกัน สำหรับไคมีร่ากับ Bellerophon เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของความดีเหนือความชั่ว


     จากการที่ไคเมร่าเป็นส่วนผสมของสัตว์ร้าย 3 ชนิด ที่ไม่น่าจะมารวมกันได้ คำว่า ไคเมร่า (Chimera) จึงใช้เป็นชื่อเรียกของสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างแปลกประหลาดในปัจจุบัน เช่น ปลาทะเลน้ำลึกจำพวกหนึ่ง ซึ่งเป็นปลากระดูกอ่อน ก็ถูกเรียกว่า ไคเมร่า ด้วยเช่นกัน
 

hippocampus


ฮิปโปแคมปัส (อังกฤษhippocampus) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของสมองของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ ฮิปโปแคมปัสเป็นส่วนหนึ่งของระบบลิมบิก (limbic system) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างความทรงจำระยะยาวและการกำหนดทิศทางในที่ว่าง โครงสร้างนี้มีลักษณะเป็นคู่อยู่ด้านข้างซ้ายและขวาของสมองเหมือนกับซีรีบรัล คอร์เท็กซ์ ในมนุษย์และไพรเมตชนิดอื่นๆ ฮิปโปแคมปัสวางตัวในสมองกลีบขมับส่วนใกล้กลาง (medial temporal lobe) ของสมองภายใต้พื้นผิวเปลือกคอร์เท็กซ์ รูปร่างของฮิปโปแคมปัสมีลักษณะโค้งจนนักกายวิภาคศาสตร์ในยุคแรกเปรียบเทียบว่าเหมือนกับเขาของแกะ (ละตินCornu Ammonis) หรือเหมือนม้าน้ำ ดังจะเห็นจากชื่อ ฮิปโปแคมปัส มาจากภาษากรีกของคำว่าม้าน้ำ (กรีก: ιππος, hippos = ม้า, καμπος, kampos= ปีศาจทะเล)
ในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ ฮิปโปแคมปัสนับเป็นหนึ่งในบริเวณของสมองที่ถูกทำลาย ทำให้มีปัญหาด้านความจำและการกำหนดทิศทางในระยะแรกของโรค นอกจากนี้ฮิปโปแคมปัสอาจถูกทำลายได้จากภาวะเลือดมีออกซิเจนน้อย (hypoxia), สมองอักเสบ (encephalitis), หรือภาวะชักของสมองกลีบขมับส่วนใกล้กลาง (medial temporal lobe epilepsy) ผู้ป่วยที่ฮิปโปแคมปัสถูกทำลายอย่างรุนแรงจะมีอาการสูญเสียความจำ

Kelpies


Kelpies (เคลพี) เคลพี หมายถึง ม้าน้ำ (Water Horse) เป็นวิญญาณแห่งน้ำตามความเชื่อของชาวสก๊อตแลนด์ ซึ่งอาจทำอันตรายหรือทำให้มนุษย์ถึงตายได้ เคลพีมีหลายรูปร่าง หนึ่งในนั้นคือชายขนดกกับม้าสวยงาม ขณะที่อยู่ในร่างม้า มันจะเชื้อเชิญให้ผู้ชายขี่มัน จากนั้นผู้ขี่ก็จะพบว่าเขาไม่สามารถลงจากมันได้ และมันก็พาเขาไปที่บ้านใต้น้ำของมัน เหยื่อของเคลพีบางส่วนจะแค่จมน้ำตายไป หรือถ้าโชคร้ายก็จะกลายเป็นอาหารของมันด้วย เคลพีในแม่น้ำส่วนใหญ่มักจะทำให้คนจมน้ำเท่านั้น ขณะที่มันอยู่ในร่างของม้า สามารถแยกแยะจากม้าทั่วไปได้โดยดูที่รอยเท้าด้านหลังของมัน เคลพีสามารถถูกบังคับด้วยบังเ***ยนได้ แต่มันไม่ใช่ความคิดที่ดีนักในการควบคุมเคลพีหลังจากที่มันมีพลังอำนาจพอจะ ร่ายคำสาป ใส่ผู้อื่น นอกจากร่างของม้าแล้ว เคลพียังแปลงเป็นชายรูปหล่อเพื่อล่อลวงหญิงสาวเข้าไปในถิ่นพำนักของมันได้ ในร่างนี้เราสามารถแยกแยะได้โดยการดูจากกระดองและสาหร่ายในเส้นผมของมัน(ยัย มุก ยัยใหม่ ระวังไว้ เหอๆๆ)

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

Pegasus


เพกาซัส (อังกฤษPegasusภาษากรีก: Πήγασος, เปกาซอส หมายถึง แข็งแรง) เป็นสัตว์ในเทพปกรณัมกรีก เป็นม้าร่างกำยำพ่วงพีสีขาวบริสุทธิ์ และมีปีกอันกว้างสง่างามเหมือนนกพิราบ
เพกาซัสเกิดมาจากนางกอร์กอน เมดูซ่า ซึ่งถูกวีรบุรุษเพอร์ซิอุสฟันคอขาดตาย ในขณะที่นางสิ้นใจตายนั้น เพกาซัสก็กระโจนออกมาจากลำคอของนาง เป็นน้องของคริสซาเออร์ ไม่มีใครสามารถปราบเพกาซัสได้เลยซักคน ตอนที่มันเกิดมาใหม่ ๆ และออกวิ่งอย่างคึกคะนองนั้น น้ำที่กระเซ็นจากรอยเท้าที่มันวิ่งก่อให้เกิดน้ำพุสวยงามที่กวีและศิลปินชื่นชมกันนักหนา คือน้ำพุฮิปโปครีนี (Hippocrene) ที่เป็นที่รู้จักกันในวรรณคดีกรีกโบราณ ว่ากันว่าใครได้ดื่มน้ำพุนี้แล้ว โอกาสที่จะเป็นกวีเอกอยู่แค่เอื้อมทีเดียว เพกาซัสทำหน้าที่คอยเก็บสายฟ้าให้ซุส
เพกาซัสโดนปราบโดยเด็กหนุ่มรูปงามชาวเมืองโครินทร์มีนามว่า "เบลเลอโรฟอน" (Bellerophon) เบลเลอโรฟอนเป็นโอรสของเจ้าเมืองโครินท์ที่มีนามว่า พระเจ้ากลอคุส (Glaucus) ซึ่งต่อมาเบลเลอโรฟอนได้ขี่เพกาซัสปราบไคเมร่า
เพกาซัสได้เป็นนักรบสัตว์ในตำนาน ซึ่งเป็นคู่หูตัวที่ 2

Minotaur


ในเทพปกรณัมกรีก มิโนทอร์ (อังกฤษMinotaur) เป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งมีศีรษะเป็นโค มีกายเป็นคน[1] หรือที่โอวิด (Ovid) กวีโรมัน พรรณนาว่า "กึ่งคนกึ่งโค"[2] มิโนทอร์พำนักอยู่ในวงกตซึ่งเป็นหมู่อาคารมีทางเดินคดเคี้ยว ณ กลางเกาะครีต[3] และเป็นผลงานที่วิศวกรเดดาลัส (Daedalus) กับอีคารัส (Icarus) บุตร ร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นตามพระราชโองการพระเจ้าไมนอส (Minos) แห่งเกาะครีต ภายหลัง มิโนทอร์ถูกธีเซียส (Theseus) วีรบุรุษชาวเอเธนส์ ประหารในวงกตนั้นเอง
คำ "มิโนทอร์" ในภาษาอังกฤษมาจากคำ "Μῑνώταυρος" (Mīnṓtauros,) ในภาษากรีกโบราณ แปลว่า โคแห่งพระเจ้าไมนอส โดยในภาษาอังกฤษนั้น คำ "มิโนทอร์" เป็นทั้งวิสามานยนามใช้เรียกสิ่งมีชีวิตตามตำนานข้างต้น และเป็นสามานยนามใช้เรียกสิ่งมีชีวิตกึ่งโคกึ่งคนตัวอื่น ๆ โดยทั่วไป ส่วนชาวครีตเองเรียกสัตว์นี้ด้วยวิสามานยนามว่า "แอสเตเรียน (Asterion)[4]ซึ่งเป็นนามของปู่มิโนทอร์ (พระบิดาบุญธรรมของพระเจ้าไมนอส) เช่นกัน[5]